7 เคล็ดลับในการรักษาทัศนคติเชิงบวกที่ทำได้ทุกวัน
การคิดเชิงบวก ไม่ยากหรอกครับ แต่จะรักษาให้อยู่กับตัวเรานั่นสิเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนครับ
บทความนี้เป็นเคล็ดไม่ลับในการรักษาทัศนคติเชิงบวก
ที่ผมใช้แชร์ตอนบรรยาย Positive Thinking for life ลองอ่านและนำไปทำดูนะครับ
การคิดเชิงบวกนั้นไม่ยาก แต่การรักษาทัศนคติเชิงบวกให้อยู่ยืนยงคงกะพันนั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก
หากปราศจากการหมั่นฝึกฝน หมั่นลงมือทำในสิ่งที่ควรรักษาไว้ซึ่งความคิดเชิงบวก
อารมณ์เชิงลบก็จะคอยชักจูงให้เรานั้นคล้อยตามและทำสิ่งที่ไม่ดีลงไป
ดังนั้นอยากเป็นคนมีความคิดเชิงบวกอยู่ตลอดเวลานั้นไม่ยาก
ผมมีเคล็ดลับมาบอกเล่าให้ทุกคนลองนำไปปฏิบัติ ยิ่งคุณรู้เคล็ดลับนี้มากเท่าไหร่
คุณก็จะมีภูมิคุ้มกันที่ดี...แต่หากคุณแค่รู้ แต่ไม่เชื่อ ไม่นำไปปฏิบัติ ก็เปล่าประโยชน์
ดังนั้น รู้ และ ลงมือทำ เท่านั้น ถึงจะสามารถรักษาความคิดเชิงบวกให้อยู่กับตัวเราไปนาน ๆ
เอาล่ะ ! เรามาเรียนรู้เคล็ดลับการรักษาทัศนคติเชิงบวกกันดีกว่า ครับ
1.คุณต้องเปิดตัวเองไปสู่ข้อมูลเชิงบวก
โลกที่หมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา...การเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา
และยิ่งยุคนี้เป็นยุคข้อมูลข่าวสารที่เราสามารถเสพสื่อต่าง ๆ ได้ค่อนข้างจะง่ายกว่าอดีตมากนัก
เพราะปัจจุบันโทรศัพท์มือถือไม่ได้ใช้เพียงแค่โทรเข้าโทรออกเท่านั้น แต่ยังสามารถรับข้อมูลข่าวสาร
ผ่านอินเตอร์เน็ต ทำให้เป็นเรื่องที่ง่ายมาก ๆ ในการที่จะเข้าถึงข้อมูลข่าวสารนั้น ๆ
ยิ่งเมื่อเราเข้าถึงข้อมูลข่าวสารง่ายเท่าไหร่...เราก็ควรจะคัดสรรเนื้อข่าวที่มีคุณภาพ
เป็นข่าวสารที่ให้คุณประโยชน์แก่ตัวเรามากขึ้นเท่านั้น
ไม่ใช่อ่านข่าวที่ทำให้เครียด กังวล หรือเป็นข้อมูลเชิงลบที่นำไปพูดปากต่อปาก ไม่เกิดการสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ
การที่คุณพยายามรับรู้ข่าวสารนั้นเป็นเรื่องที่ดีครับ...แต่จะดีมากกว่าถ้ารับข่าวสารที่ทำให้เกิด
แรงบันดาลใจในการต่อยอดไอเดีย หรือความคิดสร้างสรรค์ของตัวเรา
แรงบันดาลใจที่ทำให้เราลุกขึ้นสู้แม้ในยามท้อแท้...หรือข้อมูลนวัตกรรมใหม่ ๆ
โลกแห่งอนาคตที่มนุษย์คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ เพื่อทำให้เกิดมุมมองที่กว้างขวาง
และแตกต่าง...หรือ ข่าวเศรษฐกิจของโลก การศึกษาเพื่อนบ้านที่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
เพื่อคิดต่อยอดว่า เราจะทำอย่างไรให้สามารถก้าวไปทัดเทียมกับประเทศที่เขาพัฒนาแล้ว
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ล้วนแต่เป็นประโยชน์ที่ทำให้ตัวเราก่อเกิดแรงบันดาลใจและมองมุมที่เป็นบวก
มากขึ้น มองมุมที่ก่อให้เกิดความเป็นไปได้ในการต่อยอดความคิด และมองในมุมที่อ่านแล้ว
สบายใจเป็นคลังความรู้ที่มีคุณค่าให้เก็บไว้ในยามที่ต้องนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในวันข้างหน้า
2.คุณต้องคบหากับคนที่มีทัศนคติเชิงบวก
การคบคนก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตเรามีการเปลี่ยนแปลง แต่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
หรือแย่ลงนั้น ตัวเราเท่านั้นที่จะเป็นคนคอยกำหนดทิศทางของชีวิต
สุภาษิตที่เรามักเคยได้ยินกันบ่อย ๆ นั่นคือ
คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล
เป็นคำที่มีความหมายในตัวเองอยู่แล้ว ถ้าวันนี้เราคบคนไม่ดี
ก็อาจถูกชักจูงให้ไปเดินในเส้นทางที่มืดบอดไร้ซึ่งคุณธรรมและความดี
แต่ถ้าเราคบคนที่ดี กัลยาณมิตรท่านนั้นก็จะพาเราไปพบกับแสงสว่างที่ทำให้เราเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง
เช่นกันกับการเลือกคบคนที่คิดบวก...ชีวิตของคุณก็จะเจอแต่มุมบวก
เมื่อยามที่เราขอคำปรึกษา หรือคำแนะนำ คนที่คิดบวกเขาจะมองสิ่งที่เป็นปัญหามักมีทางออกอยู่เสมอ
มองปัญหาเป็นเสมือนเครื่องทดสอบจิตใจให้แข็งแกร่ง
และคนที่คิดบวกก็จะสามารถชี้ช่องทางที่ทำให้ตัวเราสามารถอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง
สามารถนำมุมมองที่ได้รับไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต...ด้วยพลังความคิดด้านบวก ครับ
3.อย่าไปสนใจคนที่บอกว่า “คุณทำไม่ได้หรอก”
เคยไหมครับ ทุกครั้งที่เราจะทำบางสิ่งบางอย่างที่เราใฝ่ฝัน
แต่ฝันนั้นกลับพังทลายเพียงเพราะคำพูดบางประโยคที่บอกเราว่า “คุณทำไม่ได้หรอก”
ซึ่งประโยคสั้น ๆ แต่สามารถทำให้เราพับเสื่อถอยหลังกลับบ้านได้ในทันที
บางครั้งคำพูดที่เตือนสติเราก็เป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์ โดยเฉพาะถ้าเป็นคำพูดจากผู้ใหญ่
ที่เราให้ความเคารพนับถือ...แต่บางครั้งเราต้องตระหนักให้รับรู้ว่า ชีวิตเป็นของเรา
เรานั่นแหละที่ต้องเป็นคนบังคับชีวิตของตัวเอง...เปรียบเหมือนกับผู้นำองค์กร
ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ ด้วยรับฟังข้อมูลจากผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อใช้ในการวิเคราะห์
ความเป็นไป ชีวิตเราก็เช่นกันครับ ข้อมูลต่าง ๆ เป็นสิ่งที่เราจะต้องนำมาวิเคราะห์ถึง
ความเป็นไปได้ในการลงมือทำ หรือไม่ทำ อย่าให้คำพูดเพียง “คุณทำไม่ได้หรอก” มาใช้บั่นทอน
กำลังใจที่เราวางแผนไว้ทุกอย่างต้องพังทลายและกลายเป็นความทรงจำที่เลวร้ายครับ
เพราะสุดท้าย ชีวิตเป็นของเรา เราต้องใช้ให้คุ้มค่า ครับ
4.ถ้าคุณไม่มีอะไรดี ๆ จะพูด ก็ไม่ต้องพูดอะไร
บางครั้งคำพูดของเราก็สามารถทำร้ายจิตใจคนอื่นได้เหมือนกัน ในห้วงอารมณ์ของความคิดเชิงลบ
เพราะความคิดเชิงลบมีศักยภาพทำลายล้างอย่างรุนแรงให้ชีวิตของผู้ที่ได้รับเกิดความเสียใจ
และทำให้เป็นปัญหาในระยาวได้ โดยเฉพาะคนในครอบครัวที่ต้องให้ความดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกันไว้
ถนอมน้ำใจไว้มาก ๆ อย่าให้ความรักที่ปลูกขึ้นมาต้องพังทลายไปกับอารมณ์เพียงชั่วครั้งชั่วคราว
ผมเชื่อว่าชีวิตคู่การที่จะทำให้ยั่งยืนได้ ต้องมาจากความรัก และพัฒนาไปสู่ความเข้าใจ
ความเห็นอกเห็นใจ ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ความรักเกิดความมั่นคง
ไม่พังทลายไปกับคำพูดแย่ ๆ เพียงบางประโยค ลองคิดดูนะครับ
วันไหนที่เราไม่มีเรื่องดี ๆ จะพูด ก็อย่านำเรื่องที่ไม่ดีขึ้นมาเป็นประเด็นหัวข้อในการสนทนา
เพราะมิฉะนั้นแล้ว หายนะกำลังกวักมือเรียกไว ๆ เลยครับ
5.อย่าเอาแต่พูดถึงแต่เรื่องที่เป็นปัญหาให้มุ่งไปที่ทางออกของปัญหา
คนส่วนใหญ่เมื่อเจอปัญหามักโทษปัญหาเป็นสาเหตุแห่งความล้มเหลว
พอเจอปัญหาแม้เพียงเรื่องเล็กน้อย ก็ไม่เคยคิดที่จะแก้ไขปัญหา เพราะมัวแต่คิดว่า
“ซวยแล้ว” ทำไมปัญหานี้ต้องเกิดกับตัวเราด้วยนะ และก็คิดเชิงลบไปต่าง ๆ นานา
ที่ทำให้บันทอนกำลังใจ เพราะเรามุ่งแต่ปัญหานั้นจนลืมมองทางออกของปัญหา
ว่าแท้จริงแล้ว ปัญหาทุกปัญหามันมีทางออกนะ อยู่ที่ตัวเราจะคิดเป็นบวก จะคิดในมุมที่กว้าง
มากเท่าไหร่ ลองคิดกลับด้านนะครับ เมื่อไหร่ที่เราเจอปัญหา ให้เราตั้งคำถามว่า “ทำอย่างไร”
ขึ้นต้นในการนำประโยคอื่น ๆมาเป็นส่วนประกอบ เช่น ทำอย่างไรเราถึงจะทำงานสำเร็จ,
ทำอย่างไรเราถึงจะได้เลื่อนตำแหน่ง , ทำอย่างไรเราถึงจะได้มีแฟน ฯลฯ
เมื่อคุณคิดที่จะหาทางออกด้วยการตั้งคำถาม “ทำอย่างไร” เรามักจะพบเจอคำตอบเสมอครับ
6.ความล้มเหลวเป็นเรื่องของเหตุการณ์ไม่ใช่เรื่องของบุคคล
ทุกครั้งที่เราเคยทำผิดพลาด ล้มเหลวเรามักจะโทษตัวเองอยู่เสมอและยิ่งตรอกย้ำให้รู้ว่า
ตัวเรานั้นยากที่จะประสบความสำเร็จ เป็นเพราะเคยทำผิดพลาดมาก่อน
ผมมีความเชื่อว่าคนที่เคยทำผิดพลาด เป็นเรื่องปกติของคนที่คิดอยากจะประสบความสำเร็จ
เพราะคนที่คิดอยากจะประสบความสำเร็จ เขาจะเป็นคนที่กล้าเสี่ยงทำอะไรใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา
ผิดกับคนที่ไม่เคยผิดพลาดล้มเหลว ซึ่งบางคนโชคดีที่เขาอาจจะมีการวางแผนที่รอบคอบ รัดกุม
ทำให้เกิดความผิดพลาดน้อยจนถึงไม่มีเลย แต่คนอีกบางกลุ่มที่ไม่เคยทำผิดพลาด เป็นเพราะ
ย่ำอยู่กับที่ไม่ยอมพัฒนาตนเอง ไม่ยอมทำอะไรใหม่ ๆ ที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น ซึ่งเขาอาจจะพอใจ
ในจุดที่เป็นอยู่ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ไม่ผิด แต่คนที่คิดอยากจะประสบความสำเร็จในทุก ๆ ด้านของชีวิต
จงยอมรับความผิดพลาดนั้น ให้เป็นบทเรียน เป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราเติบโต และเรียนรู้
ที่จะไม่ทำผิดพลาดซ้ำอีก และมองเหตุการณ์ความผิดพลาดในอดีตเป็นเพียงเหตุการณ์ที่สะดุดหกล้ม
จากวัตถุที่เรามองไม่เห็น อย่าโทษตัวเอง เพราะการที่เรายิ่งตอกย้ำตัวเองจะทำให้เราไม่กล้าที่จะ
ทำมันขึ้นมาอีก...เราจะเกิดอาการกลัวความล้มเหลว แล้วยิ่งเรากลัวมากเท่าไหร่
ชีวิตในวันข้างหน้าของเราก็จะมีแต่ทรงกับทรุด จะดีกว่าไหมถ้าเราจะทำให้ชีวิตเรามีแต่ความสำเร็จ
ลองเลือกด้วยทางเลือกที่เรามีนะครับ เพราะชีวิตเป็นของเรา ตัวเราเท่านั่นแหละที่จะกำหนดความสำเร็จ
ให้กับชีวิต ครับ
7.การทำงานหนักเป็นที่มาของโชคลาภ
ใครมีความเชื่อเหมือนกับผมบ้างครับว่า การทำงานหนักเป็นที่มาของโชคลาภ ยกมือสูง ๆ ครับ
ผมเป็นคนหนึ่งที่มีความเชื่อว่า การทำงานหนักนอกจากเราจะได้ความรู้ ประสบการณ์
ทักษะด้านต่าง ๆ ที่มากขึ้นจากการทำงานที่หนักกว่าคนอื่นแล้วจะทำให้เราเก่งขึ้นกว่าวัย
พอสมควร ยกตัวอย่าง เมื่อครั้งผมอายุ 23-24 ปี ผมโชคดีที่ได้ทำงานระดับบริหารแทน
หัวหน้าที่ลาคลอดในช่วงปลายปี กว่า 3 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ผมต้องรับภาระหน้าที่ที่มากขึ้น
เพราะเป็นผู้อาวุโสสุดในฝ่ายทรัพยากรบุคคล ทั้ง ๆ ที่อายุก็ไม่ได้มาก ประสบการณ์ก็ไม่ได้เยอะ
แต่เพราะความไว้วางใจจากที่ปรึกษาในฝ่ายทรัพยากรบุคคล ทำให้ผมกล้าที่จะรับบทบาททำงานด้าน
บริหารจัดการ การวางแผนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การวางแผนกลยุทธ์ว่า
ในปีถัดไปฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะมีบทบาทด้านใดบ้างในการพัฒนาองค์กรให้เติบโต
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมได้เรียนรู้หลักการบริหารที่มากมาย ทำผิด ๆ ถูก ๆ อาจเป็นเพราะประสบการณ์ที่น้อย
แต่กำลังใจแห่งความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม งานส่วนใหญ่นอกเหนือจากงานด้านการพัฒนาฝึกอบรม แรงงาน
สัมพันธ์ที่ดูแล ก็ยังต้องออกแบบระบบประเมินผลพนักงาน เพื่อนำไปใช้ในการคำนวณการให้โบนัส
และการปรับเงินเดือนที่เป็นความหวังของพนักงานหลาย ๆ คน อีกทั้งยังต้องนั่งทำแผนกลยุทธ์ในปีถัดไป
และจัดสัมมนาเพื่อพาผู้บริหารไปนำเสนอแผนของแต่ล่ะฝ่าย ซึ่งผมก็ยังต้องเป็นตัวแทนในการนำเสนอ
แทนพี่ที่เป็นหัวหน้าอีก เรียกว่าช่วงนั้นทำงานตั้งแต่เช้า จนดึก ๆ เกือบเที่ยงคืนทุกวัน
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เหนื่อยสุด ๆ จากการทำงานหลายด้าน แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปให้เราได้นึกย้อนกลับไปดู
ก็ทำให้เกิดความภาคภูมิใจที่ตัวเราสามารถทำในสิ่งที่น้อยคนนักที่จะได้โอกาสในการพัฒนาตนเองตั้งแต่
อายุน้อย ๆ และสิ่งที่ผมทำก็ทำให้ผมสามารถนำประสบการณ์ความรู้ที่ทำงานหนักโยกย้ายไปทำงานแห่ง
ใหม่ที่ให้เงินเดือนมากกว่า 1 เท่า และยังได้โชคชั้นที่ 2 คือ วันหยุดวันเสาร์และอาทิตย์
ซึ่งปกติตอนผมทำงานที่เก่าผมทำงาน จันทร์ – เสาร์ และโชคที่ 3 คือได้ทำงานใกล้บ้าน โดยขับรถ
เพียง 10 นาทีก็ถึงที่ทำงาน ซึ่งองค์กรแห่งใหม่ที่ผมทำงานก็ทำให้ผมได้เป็นวิทยากรด้านการคิดบวก
จากการสอนพนักงานในองค์กร จากการเรียนรู้จากวิทยากรที่สลับหมุนเวียนเข้ามาให้ความรู้
จนผมสามารถก้าวออกมาทำงานที่อิสระและงานที่รักในปัจจุบัน
ผมเชื่อว่าทุกอย่างคงไม่ได้อาศัยเพียงโชคชะตาเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการลงมือทำงานที่หนัก
ซึ่งในระยะสั้นอาจยังไม่เห็นผล คงต้องอดใจรอแต่ในระยะยาวสิ่งที่เราหว่านเอาไว้
จะค่อย ๆ ออกดอกออกผลให้เราเองครับ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับ 7 เคล็ดลับในการรักษาทัศนคติเชิงบวก ที่เราทำได้ในทุก ๆ วัน
ผมเชื่อว่าท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบทความผมเป็นประจำ ย่อมเข้าใจและสามารถนำความคิดในเชิงบวก
ไปปรับใช้ทั้งการทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างแน่นอน หวังว่าบทความจะกระตุ้นพลังความคิด
ให้เรามีแรงบันดาลใจทำสิ่งใหม่ ๆ ให้ชีวิตมีเส้นทางแห่งความสำเร็จในทุก ๆ วันนะครับ
เชื่อผมเถอะ ++
ท่านสามารถติดตาม Dr.fish ได้ทาง Line แล้วตั้งแต่วันนี้ โดยทำตามขั้นตอน คือ
1.ค้นหา ID : Dr.fish กรุณากดลิงก์ด้านล่าง หรือค้นหา ID "@dr.fish" ที่ LINE หรือ LINE@
(กรุณาใส่ "@" ด้วย) แล้วเพิ่มเป็นเพื่อนของคุณ
2. คลิก Link http://line.me/ti/p/%40dr.fish
ประโยชน์ที่จะได้รับในการเป็นเพื่อนกับ dr.fish คือ
1.ได้รับข้อมูลการพัฒนาตนเองที่เป็นประโยชน์ วิธีคิดในเชิงบวก ทุกเช้า 7.30 น.ทุกวัน
2. สามารถปรึกษาการทำงาน วิธีคิดได้ตลอดเวลา ไม่ต้องเกรงใจครับ ยินดีมาก ๆ ครับ
คิดบวก คิดถึง Dr.fish
เขียนโดย อ.มงคล กรัตะนุตถะ
วิทยากร นักคิด นักเขียน